ไขข้อข้องใจ ทำไมต้องเซรั่ม ต่างจากครีมยังไง?
เชื่อว่าบนโต๊ะเครื่องสำอางของสาวๆ มีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมากมาย เพราะไม่ว่าใครก็ใฝ่ฝันอยากมีผิวหน้าดี ผิวอิ่มน้ำ ผิวหน้าขาวใส ดังนั้นผลิตภัณฑ์อันไหนใครว่าดี ก็ไปหาตำมาจนได้ ถือคติที่ว่ามีไว้ให้อุ่นใจ แต่ปัญหาก็คือเวลาใช้แสนจะงง ทาอันไหนดี ทาเพื่ออะไร ต้องลงขั้นตอนไหนสับสนไปหมด แล้วเวลารีบๆ หรือขี้เกียจขึ้นมา จะมีไหมสกินแคร์ที่เอาอยู่ทุกปัญหาผิว ไม่ต้องบำรุงหลายตัวให้เสียเวลา ทาง La Vitta เข้าใจถึงปัญหาเหล่านี้ และอยากแนะนำให้สาวๆ รู้จักกับ “เซรั่ม” เพื่อผิวหน้าขาวใส สกินแคร์ที่บำรุงผิวได้ล้ำลึก ใช้ง่าย ไม่เสียเวลา มาไขข้อข้องใจกันเลยว่า ทำไมต้องเซรั่ม?
ทำความรู้จัก “เซรั่ม” และ “ครีม”
ก่อนที่จะลงลึกถึงคุณสมบัติต่างๆ เรามารู้จักกับเซรั่มและครีมกันก่อน ทั้งสองเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ช่วยฟื้นฟูบำรุงให้ผิวอิ่มน้ำเหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างกัน ดังนี้
1. เซรั่ม (Serum) คือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีโมเลกุลเล็กมาก จึงให้เนื้อสัมผัสที่เหลวเป็นน้ำจนถึงกึ่งเหลว สามารถซึมลงสู่ผิวได้ดี ทาแล้วสบายผิวไม่รู้สึกเหนอะหนะเมื่อเทียบกับการทาครีม บำรุงผิวได้อย่างล้ำลึก ที่สำคัญเซรั่มจะมีการเติมสารบำรุงที่เป็นสารออกฤทธิ์สำคัญ (Active Ingredients) ในปริมาณที่เข้มข้นกว่าครีม จึงสามารถบำรุงผิวได้ดี และเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว เหมาะกับทุกสภาพผิว
2. ครีม (Cream) คือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีเนื้อสัมผัสข้นหนืดและเนื้อหนักกว่าเซรั่ม เกิดจากการผสมน้ำมันให้เข้ากับน้ำ เน้นเคลือบผิวกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิวชั้นนอกได้ดี แต่ไม่สามารถเข้าบำรุงได้ลึกถึงผิวชั้นในเพราะมีเนื้อหนักจึงดูดซึมช้า ไม่สามารถซึมเข้าสู่ผิวชั้นในได้ เหมาะกับคนที่มีผิวแห้ง
คุณสมบัติที่โดดเด่น และข้อดีของเซรั่ม
1. เซรั่มมีโมเลกุลเล็กกว่าครีม จึงมีความบางเบา ไม่เหนี่ยวเหนอะหนะ สามารถซึมลงสู่ผิวชั้นในได้ดีกว่า ทำให้เข้าไปแก้ปัญหา ฟื้นบำรุงผิวได้จากภายในสู่ภายนอก
2. เซรั่มมีสารอาหารผิว Active Ingredients ที่เข้มข้น จึงสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด สามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการ เช่น เซรั่มลดสิว เซรั่มหน้าใส เซรั่มลดริ้วรอย โดยดูจากส่วนผสมของสารบำรุงที่เติมลงไป
3. เซรั่มช่วยดูแลผิวได้ล้ำลึก เนื่องจากเซรั่มมีโมเลกุลขนาดเล็กมาก จึงสามารถพาสารบำรุงต่างๆ เข้าไปฟื้นฟูผิวได้ถึงชั้นโครงสร้างผิว เช่น กระตุ้นการสร้างเส้นใยคลอลาเจน กระตุ้นการเกิดเซลล์ผิวใหม่ ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ หน้าเด็ก
4. เซรั่มใช้ในปริมาณที่น้อยกว่า แต่สามารถให้ประสิทธิภาพเทียบเท่าการใช้ครีมหลายตัว เนื่องจากมีสารบำรุงผิวต่อหยดที่เข้มข้นมาก ดังนั้นการใช้เซรั่มเพียงแค่ 2-3 หยด เกลี่ยให้กระจายทั่วใบหน้า ก็เพียงพอสำหรับการบำรุงผิวหน้า
5. เซรั่มไม่ขัดขวางการทำงานของผลิตภัณฑ์บำรุงชนิดอื่นเมื่อใช้ร่วมกัน เนื่องจากเซรั่มมีความบางเบา จึงควรทาเป็นอันดับแรก ตามด้วยสกินแคร์ตัวอื่น ซึ่งเซรั่มยังจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมของสกินแคร์อื่นๆ ที่ใช้ร่วมกันให้ดีขึ้นได้อีกด้วย
เคล็ดลับในการเลือกเซรั่มบำรุงผิวหน้า
ในเซรั่มมีการเติมสารอาหารผิวที่เข้มข้น จึงควรเลือกส่วนผสมให้เหมาะกับความต้องการและปัญหาผิวหน้าที่ต้องการแก้ไข เช่น อยากหน้าขาวใส หน้าเด็กไร้ริ้วรอย หรือลดปัญหาสิว แนะนำให้เลือกส่วนผสมที่ช่วยบำรุงเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ เพราะปลอดภัยจากสารที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหน้าได้ ตัวอย่างสารสกัดที่เติมในเซรั่มเพื่อช่วยบำรุงและแก้ปัญหาผิวอย่างตรงจุด ได้แก่
- สารสกัดจากใบบัวบก มีคุณสมบัติช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน กระตุ้นให้ผิวเรียบเนียนและผิวอ่อนเยาว์ นิยมใช้ผสมในเซรั่มที่ช่วยลดริ้วรอย ทำให้ริ้วรอยเล็กดูจางลงทำให้หน้าเด็ก
- สาร Sulforaphane ที่สกัดจากต้นอ่อน Swiss Garden Cress มีคุณสมบัติช่วยต่อต้านการสร้างเม็ดสี และปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวหน้าขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติ ใช้เป็นส่วนผสมในเซรั่มที่ช่วยให้หน้าใส
- สารสกัดจากมะขามป้อม มีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวหน้าขาวใสขึ้น สามารถใช้เป็นส่วนผสมในเซรั่มที่ช่วยให้หน้าใส
- สารสกัดจากมังคุด มีสาร a-mangostin ช่วยลดการเจริญของเชื้อที่เป็นต้นเหตุของปัญหาสิว สามารถใช้เป็นส่วนผสมในเซรั่มลดสิว
เชื่อว่าหลังจากได้ทราบข้อมูลดีๆ ที่ La Vitta หามาฝาก สาวๆ ต้องหาเซรั่มมาอยู่ในขั้นตอนการบำรุงผิวหน้าเพื่อความขาวใสอย่างแน่นอน สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวเยอะ แต่เวลาน้อย ไม่อยากใช้สกินแคร์หลายตัวให้วุ่นวาย ลองเลือกเซรั่มที่รวบรวมสารสกัดดีๆ จากธรรมชาติหลายตัวไว้ด้วยกัน เพียงเท่านี้การทาเซรั่มขวดเดียวก็สามารถแก้ไขปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด และช่วยฟื้นฟูให้ผิวหน้ามีสุขภาพดีขึ้นได้อย่างแน่นอน คุ้มค่าขนาดนี้ไม่ต้องข้องใจแล้วนะคะ บอกได้เลยว่าของมันต้องมี