เป็นแผล…ดูแลรักษาอย่างไรไม่ให้เกิด…แผลเป็น
แผลเป็นเกิดได้อย่างไร และมีกี่ประเภท
แผลเป็น คือ รอยที่เหลือหลังจากแผลหาย เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น รอยสิว อุบัติเหตุต่างๆ การผ่าตัด การศัลยกรรม เมื่อมีบาดแผลเกิดขึ้นจะมีการเปิดของผิวหนังทำให้สูญเสียน้ำและความชุ่มชื้นออกจากบาดแผล กระตุ้นให้มีการสร้างคลอลาเจนอย่างรวดเร็วเพื่อซ่อมแซมให้บาดแผลปิด ซึ่งกระบวนการสมานแผลของร่างกายนี้เองทำให้เกิดรอยแผลเป็น แผลเป็นสามารถแบ่งได้หลายประเภทตามลักษณะของรอยแผลเป็น ดังนี้
1. แผลเป็นแบบหลุม มีลักษณะผิวขรุขระ เป็นร่องบุ๋ม หรือหลุมลึกลงไป ส่วนใหญ่รอยมักเกิดจากสิว เช่น การแกะ เกา หรือสิวอักเสบอย่างรุนแรงจนเกิดรอยแผลเป็น
2. แผลเป็นนูน คือรอยแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นรอยแดง หรือรอยดำนูนขึ้นตามแนวรอยบาดแผล เกิดจากกระบวนการรักษาแผลไม่สมดุล สร้างคลอลาเจนมาสมานแผลมากเกินไปจนทำให้เกิดแผลป็นนูนแดง
3. แผลเป็นคีลอยด์ ลักษณะรอยแผลเป็นจะมีสีเข้ม รอยดำ รอยแดงนูนขึ้น มีเนื้อเยื่อนูนโตมากกว่ารอยแผลเริ่มต้น เนื่องจากมีการสร้างคลอลาเจนมากผิดปกติ ทำให้เนื้อเยื่อแผลเป็นเติบโตขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าแผลจะหายแล้ว
4. แผลเป็นหดรั้ง ลักษณะรอยแผลเป็นที่ขรุขระ ไม่สม่ำเสมอ เหมือนผิวหนังถูกดึงรั้ง อาจทำให้ข้อต่อบริเวณที่เป็นขยับไม่ได้และส่งผลต่อการเคลื่อนไหว รอยแผลเป็นลักษณะนี้มักเกิดจากแผลอุบัติเหตุไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
วิธีการดูแลรักษาแผลที่ถูกต้อง และวิธีรักษารอยแผลเป็น
เมื่อมีบาดแผลเกิดขึ้นการดูแลรักษาแผลที่ถูกต้องจะช่วยให้แผลหายเร็ว และลดการเกิดรอยแผลเป็นได้ โดยต้องเริ่มจากการทำความสะอาดแผลที่ถูกวิธี เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
– ใช้น้ำเกลือล้างทำความสะอาดเชื้อโรค ฝุ่น ออกจากบาดแผล
– ใช้ลำลีซับเบาๆ ให้แห้ง
– ใช้แอลกอฮอล์เช็ดบริเวณรอบๆ แผล เพื่อฆ่าเชื้อไม่ให้เข้ามาที่แผล
– ระวังอย่าให้แผลโดนน้ำ หรืออับชื้น
– ห้ามแกะ แคะ เกา หรือสัมผัสบ่อยๆ
เมื่อแผลหายจะเกิดเป็นรอยแผลเป็น ซึ่งวิธีรักษารอยแผลเป็นมีหลายวิธี ดังนี้
1. ทาครีมลดรอยแผลเป็น เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุดเพราะง่าย ประหยัดและสะดวก เหมาะกับรอยแผลเป็นทุกประเภท ยิ่งถ้าเริ่มทาครีมเร็วหลังจากแผลหาย ผิวจะชุ่มชื้นทำให้รอยแผลเป็นกลับมาสมานกันดังเดิม รอยแผลเป็น รอยแดง รอยดำก็จะจางลง รอยแผลดูสม่ำเสมอเรียบเนียนได้เร็วขึ้น ในการเลือกครีมลดรอยแผลเป็นนั้นต้องดูส่วนประกอบด้วย อย่างแรกต้องไม่มีส่วนผสมที่เราแพ้ และมีส่วนประกอบที่ช่วยในการสมานแผล ลดรอยแผล ช่วยให้ผิวแข็งแรงได้ ถ้าเป็นสารสกัดจากธรรมชาติด้วยยิ่งดี เพราะจะปลอดภัยแน่นอน ตัวอย่างสารสกัดจากธรรมชาติที่มีคุณสมบัตินี้ เช่น
- สารสกัดจากใบบัวบก (Centella Asiatica Premium Extract) ที่มีงานวิจัยแล้วว่าช่วยกระตุ้นการสร้างคลอลาเจนทำให้รอยแผลเป็น รอยแดง รอยดำ หายไว และทำให้ผิวหนังแข็งแรงขึ้น
- สารสกัดจากหอมแดง (Alliumcepa) ช่วยลดแผลเป็นนูนทั้งชนิดธรรมดา และชนิดคีลอยด์ ทำให้รอยแผลเป็นที่แข็งนุ่มลงได้ ลดรอยแดง และยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย
- สารสกัดจากว่านหางจรเข้ (Aloe Vera Extract) ช่วยในการสมานแผล และต้านการอักเสบได้
2. การใช้เลเซอร์ เป็นวิธีรักษารอยแผลเป็นที่เห็นผลรวดเร็วโดยเลเซอร์กำจัดเนื้อเยื่อแผลเป็นใต้ผิวหนัง พร้อมกระตุ้นให้เกิดคลอลาเจนขึ้นมาใหม่เรียงตัวกันได้ดีขึ้น ทำให้เกิดเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ ผิวภายนอกจะตื้นขึ้นและค่อยๆ เรียบเนียนเสมอกัน การทำเลเซอร์ต้องทำโดยแพทย์ผิวหนังที่เชี่ยวชาญ ทำต่อเนื่องเพื่อให้รอยแผลเป็น รอยแดง รอยดำจางลง ค่อนข้างเจ็บ และที่สำคัญมีค่าใช้จ่ายสูง
3. การฉีดยารักษารอยแผลเป็น นิยมใช้รักษาแผลเป็นคีลอยด์เพื่อให้แผลเป็นที่นูนนิ่มขึ้น สมานเข้ากับเนื้อผิวปกติ และลดการขยายขนาดของแผล โดยการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ฉีดเข้าที่แผลเป็น อาจใช้ร่วมการยาตัวอื่นๆ ต้องฉีดต่อเนื่องหลายครั้งจนกว่ารอยนูนจะยุบลง ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ ควรใช้บริการกับสถานพยาบาลที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัยทั้งวิธีการที่ถูกต้อง และยาที่ได้มาตราฐาน
4. การผ่าตัดแก้ไขแผลเป็น วิธีนี้ใช้ในกรณีแผลเป็นขนาดใหญ่ อย่างรอยแผลเป็นจากอุบัติเหตุไฟไหม้ น้ำร้อนลวกที่ทำให้เป็นแผลบริเวณกว้าง การผ่าตัดเป็นวิธีการตัดแผลออกหรือลดขนาดของรอยแผลเป็นให้เล็กลง มักจะใช้วิธีนี้เมื่อใช้วิธีอื่นๆ แล้วได้ผลลัพธ์ไม่ดีเท่าที่ควร ต้องทำโดยศัลยแพทย์ตกแต่งที่ชำนาญ
สาวๆ ที่กำลังกังวลใจอยู่คงได้รู้จักกับ “รอยแผลเป็น” ดีขึ้น ทั้งชนิดของรอยแผลเป็น วิธีการดูแลรักษาที่ถูกต้อง ลองทำตามข้อมูลและเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับแผลเป็นของตัวเองดูนะคะ ไม่มีใครตั้งใจให้เกิดบาดแผล แต่เมื่อเกิดแล้วเราสามารถตั้งใจรักษารอยแผลเป็นให้หายหรือจางลงได้ มาบอกลารอยแผลเป็นที่น่ารำคาญ พร้อมเผยผิวสวย โชว์ผิวเรียบเนียน ทวงคืนความมั่นใจกลับมาอีกครั้งกันนะคะ